ช่วงต้อนรับปีใหม่แบบนี้ หลายคนอาจจะได้โบนัสจากการทำงานตลอดทั้งปีกันมาบ้างแล้ว ดังนั้น การวางแผนใช้เงินโบนัสก้อนนี้จะเป็นโอกาสที่ดีที่ทุกคนจะได้ทบทวนเป้าหมายทางการเงิน ปรับปรุงสถานการณ์ทางการเงินของตนเอง และตัดสินใจว่าจะใช้เงินที่ได้มาอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด คำถามต่อไปคือ จะเก็บเงินก้อนนี้ไว้ต่อยอดเพิ่มพูนเงินออม ทำประกันสะสมทรัพย์ ลดหย่อนภาษี หรือจะนำมาใช้เคลียร์หนี้สินเพื่อให้ภาระเบาลงดี?
การตัดสินใจเช่นนี้ต้องอาศัยการวิเคราะห์และพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเพื่อหาทางเลือกที่เหมาะสมในการจัดการวางแผนการเงิน โดยบทความนี้จะพาคุณเริ่มต้นจากการประเมินสถานการณ์การเงินปัจจุบัน วิเคราะห์ความเสี่ยงและผลตอบแทน รวมถึงแนะนำตัวอย่างแนวทางการตัดสินใจที่จะช่วยให้คุณพิจารณาได้อย่างมั่นใจมากขึ้นและบอกแนวทางที่ทำให้เงินโบนัสงอกเงยได้
1. ประเมินสถานการณ์ทางการเงินในปัจจุบันให้ครบ 3 ด้าน
การวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเงินในปัจจุบันเป็นขั้นตอนแรกที่จะช่วยให้คุณเข้าใจภาพรวม เพื่อให้สามารถกำหนดแผนการใช้โบนัสได้ชัดเจนและเหมาะสม โดยควรพิจารณาดังนี้
- จำนวนหนี้สิน : ให้คุณลงมือทำรายการว่ามีหนี้สินประเภทใดบ้าง เช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล หนี้บ้าน หนี้ผ่อนสินค้า ฯลฯ จากนั้นจดบันทึกยอดหนี้คงเหลือ ยอดผ่อนชำระต่อเดือนว่าเป็นจำนวนเท่าไหร่ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยของแต่ละก้อน โดยอาจลองนำ “ตารางสำรวจภาระหนี้สิน” ของธนาคารแห่งประเทศไทยมาปรับใช้ เมื่อเห็นรายละเอียดของหนี้สินทั้งหมดแล้ว ให้นำมาเรียงลำดับความสำคัญเพื่อเตรียมวางแผนว่าเมื่อได้โบนัสเงินก้อนมาแล้วควรเลือกจัดการกับหนี้สินประเภทใดก่อน การทำเช่นนี้นอกจากจะทราบว่ามีหนี้สินอะไรบ้างในภาพรวมแล้ว การทราบยอดหนี้คงเหลือที่ยังต้องจ่ายทั้งหมดจะมีส่วนช่วยให้คุณมีความระมัดระวังไม่ก่อหนี้เพิ่มได้อีกด้วย
- เงินออมสำรอง : ตรวจสอบว่าคุณมีเงินสำรองในกรณีฉุกเฉินเพียงพอหรือไม่ มีจำนวนเท่าใด ซึ่งโดยทั่วไปควรมีเงินออมสำรองไว้อย่างน้อย 3 – 6 เท่าของค่าใช้จ่ายประจำรายเดือนเพื่อเตรียมไว้ใช้หากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เช่น ตกงานหรือมีเหตุฉุกเฉินทางสุขภาพ หากคุณมีเงินสำรองเตรียมไว้อย่างดีและครบถ้วนแล้ว ก็สามารถนำโบนัสไปใช้ในทางเลือกอื่นได้อย่างสบายใจมากขึ้น เช่น นำมาออมเพิ่มเติม นำไปลงทุนในกองทุนที่สนใจ ทำประกันสะสมทรัพย์ที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ หรือใช้ชำระหนี้ให้เบาลงก็ได้เช่นกัน
- เป้าหมายทางการเงิน : เมื่อได้เงินก้อนมาแล้ว อย่าลืมทบทวนเป้าหมายทางการเงินที่คุณต้องการไปถึงหรือบรรลุให้ได้ เช่น การเก็บเงินเพื่อซื้อบ้าน ซื้อรถ ออมเงินเพื่อการเกษียณ เพราะเป้าหมายเหล่านี้จะเป็นแนวทางช่วยคุณตัดสินใจว่าจะใช้โบนัสไปในทิศทางใดที่สอดคล้องกับความฝันและแผนในอนาคตของคุณได้นั่นเอง
2. วิเคราะห์ ‘ความเสี่ยงและผลตอบแทน’ อย่างรอบคอบ
การพิจารณาว่าจะนำเงินก้อนที่ได้ไปใช้ลงทุนต่อยอดให้เงินงอกเงยหรือลดภาระหนี้นั้น นอกจากการตรวจสอบสถานการณ์ทางการเงินแล้ว ยังควรคำนึงถึงความเสี่ยงและผลตอบแทนที่แต่ละคนคาดหวังจากทางเลือกต่าง ๆ ด้วย เพราะทั้ง 2 อย่างมีความเสี่ยงและผลตอบแทนที่แตกต่างกัน โดยการลงทุนอาจให้ผลตอบแทนสูง แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงที่จะขาดทุนหรือไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดหวังได้เช่นกัน ดังนั้น ก่อนลงทุนทุกครั้งจึงควรพิจารณาถึงความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ เพราะสิ่งนี้จะช่วยให้คุณรู้ว่าตนเองเหมาะกับการลงทุนในรูปแบบไหน มีความเสี่ยงสูงหรือต่ำ และหากผลตอบแทนไม่เป็นอย่างที่คาดคิด ส่งผลกระทบต่อการเงินด้านอื่น ๆ ก็จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนแก้ไขหรือบริหารจัดการเงินต่อไปได้
ส่วนในฝั่งของการนำเงินก้อนมาชำระหนี้ แม้ว่าจะช่วยลดภาระทางการเงินในระยะยาวและไม่มีความเสี่ยง แต่ก็จะไม่ได้ช่วยเพิ่มพูนรายรับเหมือนกับการลงทุนหรือการออม ดังนั้นให้คุณคำนึงถึงด้านนี้อย่างรอบคอบเพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและตรงกับความต้องการของตนเอง
3. แนวทางการตัดสินใจเพื่อวางแผนใช้โบนัสอย่างเหมาะสม
หลังจากประเมินสถานการณ์ทางการเงินและวิเคราะห์ความเสี่ยงกันไปแล้ว เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น ต่อไปจะเป็นตัวอย่างแนวทางการตัดสินใจวางแผนจัดสรรเงินโบนัสอย่างเหมาะสม โดยดูจากภาระหนี้สินที่มีและสภาพคล่องทางการเงิน แบ่งออกเป็น 3 กรณี ดังนี้
-
กรณีมีหนี้สินก้อนใหญ่ อัตราดอกเบี้ยสูง
หากคุณมีภาระหนี้ก้อนใหญ่ เช่น ค่าบัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง แนะนำว่าควรใช้เงินโบนัสจัดการกับหนี้สินรายการนี้ก่อน เพราะการชำระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงจะช่วยลดภาระค่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือนได้ อีกทั้งยังช่วยประหยัดเงินในระยะยาวมากขึ้นและทำให้การเงินของคุณมีความคล่องตัวมากกว่าเดิม
-
กรณีมีหนี้สินหลายรายการ อัตราดอกเบี้ยต่างกัน
หากคุณมีหนี้สินหลายรายการและแต่ละรายการมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่างกัน เช่น ค่าบ้าน ค่าบัตรเครดิต ค่าผ่อนรถยนต์ ควรจัดลำดับความสำคัญในการชำระหนี้ โดยเริ่มจากการจ่ายหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงก่อน จ่ายหนี้ที่มียอดคงเหลือน้อยที่สุดเพื่อเป็นการปิดยอดรายการย่อย หรือนำเงินมาแบ่งชำระหนี้บางส่วนและกันเงินไว้ใช้กับทางเลือกอื่นที่ไม่เป็นการเพิ่มภาระหนี้ เช่น การลงทุนระยะยาวในกองทุนรวมที่มั่นคงหรือนำไปเป็นเงินออมสำหรับอนาคต
-
กรณีมีเงินออมสำรองเพียงพอสำหรับยามฉุกเฉิน
หากคุณมีเงินออมเพียงพอและมีเงินสำรองยามฉุกเฉินเตรียมไว้แล้ว แสดงว่าคุณมีสภาพคล่องทางการเงินที่ค่อนข้างดี การนำเงินก้อนไปลงทุนกับประกันสะสมทรัพย์ซึ่งถือเป็นการใช้ ‘เงินต่อเงิน’ และมีความเสี่ยงต่ำย่อมเป็นทางเลือกที่ดี เนื่องจากการนำเงินโบนัสมาลงทุนในประกันประเภทนี้จะช่วยให้คุณได้รับผลตอบแทนอย่างต่อเนื่องและสร้างความมั่นคงในระยะยาวโดยที่ไม่ต้องกังวลกับความเสี่ยงที่ตามมามากนัก โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ หากใครกำลังมองหาประกันสะสมทรัพย์ ลดหย่อนภาษี ที่สามารถต่อยอดโบนัสได้อย่างคุ้มค่า เรามีประกันดี ๆ จากกรุงเทพประกันชีวิตออนไลน์ (Bangkok Life Assurance) มาฝากกัน
1.ประกันลดหย่อนภาษี บีแอลเอ สมาร์ทรีเทิร์น 10/5 (BLA Smart Return 10/5) ต่อยอดโบนัสให้เป็นเงินก้อนใหญ่ จ่ายเบี้ยสั้น 5 ปี รับเงินคืนไวกว่า SSF
จุดเด่นของประกัน
- ระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปี ระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัย 5 ปี
- คืนเงินไวตั้งแต่ปีที่ 5 โดยตั้งแต่ปีที่ 7 – 9 รับเงินคืนปีละ 100% ปีที่ 10 รับเงินคืน 205% รวมตลอดสัญญารับ 525% (%ของจำนวนเงินเอาประกันภัย)
- เบี้ยเริ่มต้นปีละ 20,000 บาท เฉลี่ยเดือนละพันนิด ๆ
- คุ้มครองชีวิต 10 ปี กรณีเสียชีวิต รับเงินคืนสูงสุด 505% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
- ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 100,000 บาทต่อปี เป็นไปตามที่กรมสรรพากรกำหนด
2. ประกันออมทรัพย์ บีแอลเอ สมาร์ทรีเทิร์น 15/10 (BLA Smart Return 15/10) ต่อยอดเงินโบนัสให้เป็นเงินออมหลักแสน ด้วยเบี้ยเริ่มต้นเดือนละ 1,000 บาท
จุดเด่นของประกัน
- ระยะเวลาคุ้มครอง 15 ปี ระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัย 10 ปี
- รับเงินคืนทุกปี ปีละ 2% ครบกำหนดสัญญา รับ 108% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
- คุ้มครองชีวิต 15 ปี กรณีเสียชีวิต รับเงินคืนสูงสุด 130% 1 ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
- ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 100,000 บาทต่อปี เป็นไปตามที่กรมสรรพากรกำหนด
3.ประกันสะสมทรัพย์ บีแอลเอ สมาร์ทเซฟวิ่ง 10/1 (BLA Smart Saving 10/1) ต่อยอดเงินโบนัส จ่ายครั้งเดียวจบ รับเงินคืนทุกปี ไม่ต้องกังวลเบี้ยปีต่อไป
จุดเด่นของประกัน
- มอบความคุ้มครองชีวิต 10 ปี ชำระเบี้ยประกันภัยครั้งเดียวจบ
- รับเงินคืนทุกปี ปีละ 1.75% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
- รับเงินคืนรวมตลอดสัญญา 117.5% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
- ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 100,000 บาทต่อปี เป็นไปตามที่กรมสรรพากรกำหนด
อ่านมาถึงตรงนี้หลาย ๆ คนคงจะได้คำตอบกันแล้วว่าจะนำเงินโบนัสไปลงทุนต่อยอดหรือลดภาระหนี้ดีกว่ากัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการวางแผนทางการเงิน เงื่อนไขหรือปัจจัยต่าง ๆ ที่นำมาประกอบการพิจารณาของแต่ละคน แต่สำหรับใครที่อ่านบทความแล้วเลือกวิธีนำเงินก้อนที่ได้มาลงทุนให้เงินงอกเงยด้วยการลงทุนกับ ‘ประกันสะสมทรัพย์’ จาก Bangkok Life Assurance สามารถติดต่อเพื่อซื้อประกันผ่านทางออนไลน์หรือศึกษาแผนประกันภัยเพิ่มเติม เข้าไปเยี่ยมชมหรือสมัครได้ที่เว็บไซต์ https://bla.bangkoklife.com/qxpslUPUHn หรือ โทร 02-777-8888
หมายเหตุ
– โปรดทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไขและข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง
1 % ของจำนวนเงินเอาประกันภัย หรือเบี้ยประกันชีวิตสะสมตามจริง แล้วแต่จำนวนใดจะมากกว่า